ประโยชน์ 1. ช่วยปรับโครงสร้างของดิน ทำให้ดินร่วนซุย ดินโปร่ง สามารถซับน้ำความชุ่มชื้นได้ดี
2. ช่วยให้จุลินทรีย์ในดินเจริญเติบโตและสร้างปริมาณมากขึ้น เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ดินและพืชที่ปลูก
3. ช่วยดูดซับธาตุอาหารในดินไว้และยังทำหน้าที่ดูดซับปุ๋ยเคมีที่ใส่ในดินให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ให้สูญหาย หรือสลายไปเร็ว ( เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ที่มีธาตุอาหารครบ สามารถใช้เดี่ยว หรือใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีก็ได้)
4. ช่วยประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยลง ไม่ทำให้ดินแข็งและเป็นกรดหรือด่าง เป็นการลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยและการผลิตของเกษตรกรโดยตรง (การใช้เกษตรอินทรีย์ จะทำให้ดินดีเพิ่มผลผลิตขึ้นเรื่อยๆ )
5. พืชสามารถนำอาหารใช้ได้ทันทีเพราะเป็นปุ๋ยเย็น มีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและจุลธาตุครบ
6. ใช้ได้ทั้งพืชผักสวนครัว พืชไร่ ไม้ผลต่างๆ และนาข้าว ข้าวโพด สวนปาล์ม สวนยางพารา
7. มีส่วนผสมของฮิวมิกซ์แอซิส ,ไคโตซาน และสารซิลิกอน ทำให้ผนังเซลล์พืชแข็งแรง โดยเฉพาะในข้าว ,ข้าวโพด เมื่อผนังเซลล์พืชแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ลำต้นแข็งไม่หักล้มง่าย
8. ลดต้นทุน ทำให้พืชมีภูมิต้านทานโรค ลดการใช้ยา ปลอดภัยต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มผลผลิต มีรายได้เพิ่ม
ธาตุอาหารหลัก : ไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส(P) โปรแตสเซี่ยม(K) ธาตุอาหารรอง : แคลเซี่ยม(Ca) แมกนีเซี่ยม(Mg) กำมะถัน(S) ธาตุอาหารเสริม : แมงกานีส(Mn) โมลิปตินัม(Mo) สังกะสี(Z) คลอรีน(Cl) โบรอน(B) เหล็ก(Fe) ทองแดง(Cu) นิเกิล(Ni) อินทรีย์วัตถุ(Om) ออแกนิคคาร์บอนด์(Oc) แร่ธาตุ วิตามิน และฮอร์โมนต่างๆ
ตารางเปรียบเทียบการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ดาวปูแดงกับปุ๋ยเคมีทั่วๆไป
|
การใช้ปุ๋ยเคมีทั่วๆไป
|
การใช้ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยอินทรีย์ดาวปูแดง
|
1. จะมีฤทธิ์เป็นกรด ยิ่งใช้ ดินก็ยิ่งเป็นกรด ดินจะเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ
|
1. มีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย ยิ่งใช้ ปรับสภาพดินให้ เหมาะกับพืชทุกชนิดไว้ใช้ในการเจริญเติบโต ยิ่งใช้ดินก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ
|
2. เป็นปุ๋ยที่ละลายเร็ว สูญเสียได้ง่าย เมื่อฝนตกหรือมีแสงแดดจัด
|
2. เป็นปุ๋ยที่ละลายช้า ค่อยๆสลายตัว พืชดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่
|
3. เป็นปุ๋ยที่ช่วยเร่งให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และหมดฤทธิ์อย่างรวดเร็ว
|
3. เป็นปุ๋ยที่ช่วยเร่งให้พืชเจริญเติบโตได้รวดเร็วและออกฤทธิ์ต่อเนื่อง ทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ปุ๋ยยังอยู่ในดินได้นานหลายเดือน
|
4. ไม่มีสารที่ช่วยในการดักจับปุ๋ย ทำให้แสงแดด น้ำฝน อากาศ พัดพาปุ๋ยเคมีให้สูญเสียไป ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าเกษตรสูงขึ้น
|
4. มีกรดฮิวมิคทำหน้าที่เป็นคีเลตตรึงปุ๋ยให้ยึดติดกับดินไม่ให้น้ำพัดพาไป และปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชเมื่อพืชต้องการใช้
|
5. ยิ่งใช้นานๆ เข้า จะทำให้ดินแข็งทำให้รากพืชเดินไม่สะดวก
|
5. ทำให้ดินร่วนซุย รากพืชเดินได้สะดวก
|
6. ยิ่งใช้มาก ๆ ขึ้น ก็ยิ่งเกิดโรคมากขึ้น
|
6. ทำให้พืชแข็งแรง ต่อต้านโรคได้ดียิ่งขึ้น
|
7. ยิ่งใช้แมลงยิ่งมาก ทั้งบนดินและใต้ดิน เพราะแมลงทุก ๆ ชนิดจะชอบสารไนเตรท
|
7. ยิ่งใช้แมลงจะลดน้อยลง ทั้งบนดินและใต้ดิน
|
8. ยิ่งใช้กับพืชผักผลไม้มากเท่าไร ก็จะทำให้พืชผักผลไม้ยิ่งขาดรสชาติ
|
8. ยิ่งใช้ พืชผักผลไม้จะมีรสชาติที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่ต้องการของตลาด
|
9. ต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจะได้ผลผลิตเท่าเดิม
|
9. ยิ่งใช้ผลผลิตยิ่งเพิ่มขึ้น อายุการให้ผลผลิตก็จะมากขึ้น
|
10. ยิ่งใช้ ธาตุอาหารและจุลินทรีย์จะหมดไปเรื่อยๆ
|
10. ธาตุอาหารและจุลินทรีย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถลดปริมาณปุ๋ยเคมีน้อยลงเรื่อยๆ
|
วิธีใช้
ชนิดพืช
|
ระยะเวลาพืช
|
อัตราการใช้ปุ๋ย
|
ประโยชน์
|
นาข้าว
|
ช่วงอายุ 20-30 วัน
ข้าวตั้งท้อง
|
30-50 กก./ไร่
30-50 กก./ไร่
|
ช่วยให้ข้าวแตกกอดี ต้นแข็งแรงไม่ล้มง่าย ทนทานต่อโรคและแมลง รวงใหญ่น้ำหนักดี
ไม่มีเม็ดลีบ
|
ปาล์ม
|
ปาล์มปลูกใหม่
ปาล์มเล็ก 1-3 ปี
ระยะให้ผลผลิต 4 ปี ขึ้นไป
|
½ กก.ต่อต้น รองก้นหลุม
1-2 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
3-4 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
|
ช่วยให้ต้นโตเร็ว ต้นสมบูรณ์ แข็งแรง สะโพกใหญ่ ทะลายใหญ่ ลูกสม่ำเสมอ น้ำหนักมาก
ป้องกันโรคขาดโบรอน
|
ยางพารา
|
ยางพาราปลูกใหม่
ยางเล็ก 1-3 ปี
ยางโต 4-6 ปี
ยางเปิดกรีด 7 ปี ขึ้นไป
|
½ กก.ต่อต้น รองก้นหลุม
1-2 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
2-3 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
3-4 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
|
ช่วยให้ต้นเร็ว สมบูรณ์ เปลือกยางหนา และนิ่ม ท่อน้ำยางใหญ่ กรีดง่าย ได้น้ำยางมาก ทนทานต่อโรค แก้ปัญหาหน้ายางตายได้เป็นอย่างดี
|
ไม้ผล
ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ส้ม องุ่น ลำไย ฯลฯ
|
ระยะต้นเล็ก
ระยะให้ผลผลิต
- ช่วงหลังแต่งกิ่ง
- ระยะสร้างดอก
- ช่วงบำรุงผล
|
1-2 กก. ต่อต้น 2-3 ครั้ง
2-3 กก. ต่อต้น
1-2 กก. ต่อต้น
3-4 กก. ต่อต้น
|
ช่วยให้ต้นโตเร็ว พื้นตัวเร็ว สะสมอาหารได้ดี ผลผลิตต่อไร่สูง ผลใหญ่ เนื้อแน่น น้ำหนักดี ลงสีเร็ว รสชาติดี ขายได้ราคา
|
พืชสวน
มะเขือ แตงกวา พริก ฯลฯ
|
ระยะปลูกใหม่หรือทำรุ่น
ระยะให้ผลผลิต
|
½-1 ช้อนต่อต้น หรือ 30-50 กก.ต่อไร่
1-2 ช้อนต่อต้น หรือ 50-70 กก.ต่อไร่
|
ช่วยให้ต้นโตเร็ว พื้นตัวเร็ว ผลดก ผลใหญ่ ได้น้ำหนัก ผลผลิตต่อไร่สูง ทนทานต่อโรค
|
พืชผัก
กะหล่ำปลี ผักกาด คะน้า ผักบุ้ง ฯลฯ
|
ระยะปลูกใหม่หรือทำรุ่น
ระยะให้ผลผลิต
|
½-1 ช้อนต่อต้น หรือ 30-50 กก.ต่อไร่
1-2 ช้อนต่อต้น หรือ 50-70 กก.ต่อไร่
|
ช่วยให้ต้นโตเร็ว พื้นตัวเร็ว ใบใหญ่ ใบหนา กรอบ น้ำหนัก ผลผลิตต่อไร่สูง ทนทานต่อโรค
|
พืชไร่
ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย ฯลฯ
|
รองพื้น
หลังปลูก 30-40 วัน
|
30-50 กก. ต่อไร่
50-70 กก. ต่อไร่
|
ต้นโตเร็ว แข็งแรง ผลผลิตต่อไร่สูง ทนทานต่อโรคและแมลง
|
|